พระแก้วบัวระกต, พระแสงเขียว, พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร, พระแก้วมรกต,
พบในพระสถูปเจดีย์ "วัดป่าญะ" (ปัจจุบันคือ วัดพระแก้ว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) สถูปเจดีย์ถูกฟ้าผ่าพังลง พบพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองทั่วทั้งองค์ ต่อมามินาน ปูนที่ลงรักปิดทองกระเทาะออก เห็นเป็นพระพุทธรูปแก้วสีเขียวงามอยู่ภายใน
เหตุที่ต้องพอกปูนเข้าใจว่าเพื่อซ่อนเนื้อแก้วไว้ไม่ให้ใครรู้ เพราะสมัยนั้น พระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานอยู่นครเชียงราย พระเจ้าแสนเมืองมา เจ้านครเชียงใหม่ ทำสงครามกับพระเจ้าพรหม เจ้านครเชียงราย เพื่อจะนำพระพุทธสิหิงค์ไปเชียงใหม่ เจ้าครองนครเชียงรายเกรงว่าหากเสียทีในการรบ จะเสียพระแก้วมรกตไปพร้อมกับพระพุทธสิหิงค์ หากจะต้องเสียก็ยอมให้แต่พระพุทธสิหิงค์องค์เดียว จึงหาวิธีอำพรางซ่อนพระแก้วมรกตให้มิดชิด ใครพบก็เห็นเป็นเพียงพระพุทธรูปธรรมดา ไม่ได้ให้ความสนใจ
บ้านเมืองที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต นับตั้งแต่แรกพบในพระเจดีย์ที่เมืองเชียงราย มีดังนี้
1. เชียงราย ตั้งแต่ พ.ศ. -(ไม่ปรากฏ)- ถึง พ.ศ. 1979
2. ลำปาง 32 ปี
3. เชียงใหม่ 84 ปี
4. หลวงพระบาง 12 ปี
5. เวียงจันทน์ 215 ปี
6. ธนบุรี 5 ปี (พ.ศ. 2322 ถึง พ.ศ. 2327)
7. กรุงเทพฯ พ.ศ.2327 ถึงปัจจุบัน นับได้ 227 ปี
ตำนานพระแก้ว
พ.ศ. ๕๐๐ ตามตำนานพระแก้วมรกตในหนังสือรัตนพิมพวงศ์ กล่าวว่าสร้างโดยเทวดาเพื่อถวายพระนาคเสนเถระ ที่เมืองปาฏลีบุตร (คือรัฐปัตนะ ประเทศอินเดีย)
พ.ศ. ๘๐๐ บ้านเมืองเกิดสงคราม จึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่ลังกาทวีป
พ.ศ. ๑๐๐๐ พระเจ้าอนุรุทธมหาราช แห่งเมืองพุกาม ทรงส่งสมณทูตไปขอพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกตโดยบรรทุกสำเภามา ระหว่างทางเกิดพายุพัดไปยังเมืองมหานคร หรือนครธม ประเทศกัมพูชา
พ.ศ. ๑๘๙๐ อัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ยังกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) หลังจากนั้นอัญเชิญไปไว้ยังเมืองละโว้และกำแพงเพชรตามลำดับ
พ.ศ. ๑๙๒๙ เจ้ามหาพรหม เจ้าเมืองเชียงราย ยกทัพไปเชียงใหม่เพื่อแย่งราชบัลลังค์จากพระเจ้ากือนาพระอนุชา แต่สู้ไม่ได้จึงหนีลงไปอาศัยอยู่กับพระยาญานดิส เจ้าเมืองกำแพงเพชร และได้ไปนมัสการพระแก้วมรกตและพระพุทธสิหิงส์ จึงอยากได้พระพุทธรูปทั้งสององค์
พ.ศ. ๑๙๓๓ เจ้ามหาพรหม ได้ขอยืมพระพุทธรูปทั้งสององค์จากนางจันทร์มารดาของพระยาญานดิส ซึ่งเป็นผู้ดูแลพระพุทธรูปทั้งสอง กลับไปอาณาจักรล้านนา โดยได้มอบพระพุทธสิหิงส์ให้พระเจ้ากือนา ส่วนพระแก้วมรกตได้นำกลับไปเมืองเชียงราย
พ.ศ. ๑๙๓๔ เจ้ามหาพรหมได้ขอยืมพระพุทธสิหิงส์ไปเชียงราย เพื่อเป็นแบบหล่อพระพุทธสิ-หิงส์จำลอง และได้ทำการสมโภชที่เกาะดอนแท่นกลางแม่น้ำโขง แล้วนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงราย จนถึงปัจจุบัน
ส่วนพระแก้วมรกต เมื่อเจ้ามหาพรหมชราภาพลง ก็คิดอุบายนำไปซ่อนไว้ในคอระฆังของพระเจดีย์วัดป่าเยี๊ยะ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
พ.ศ. ๑๙๗๗ เกิดอสนีบาตฟาดใส่พระเจดีย์วัดป่าเยี๊ยะ เมืองเชียงรายจนพังทลายลง พบพระพุทธรูปลงรักปิดทององค์หนึ่ง ต่อมาปูนที่พอกกะเทาะออกจนเห็นเป็นแก้วสีเขียว เมื่อลอกปูนออกทั้งองค์จึงพบว่าเป็นแก้วมรกต วัดป่าเยี๊ยะจึงมีผู้เรียกว่า วัดพระแก้ว
พ.ศ. ๑๙๗๙ เจ้าสามฝั่งแกน เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้จัดขบวนช้างอัญเชิญพระแก้วมรกตไปเชียงใหม่ ระหว่างทางถึงทางแยกเมืองแจ้สัก ช้างตื่นหนีไปเมืองลำปาง จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดพระแก้วดอนเต้า เมืองลำปาง
พ.ศ. ๒๐๑๑ พระเจ้าติโลกราช เจ้าครองนครเชียงใหม่ขณะนั้น ได้อาราธนาอัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานไว้ในซุ้มจรนำ มุขพระเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่
พ.ศ. ๒๐๙๑ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จากเมืองศรีสัตนาคนหุตเชียงทอง (ลาว) ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระนางยอดคำ พระธิดาของพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์เชียงใหม่องค์ก่อน ได้มาครองเมืองเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๐๙๕ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเสด็จกลับไปเมืองเชียงทอง และได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงส์ และพระแซกคำ ไปด้วย ต่อมาได้คืนพระพุทธสิหิงส์ให้เชียงใหม่
พ.ศ. ๒๑๐๗ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงทองไปเมืองเวียงจันทน์ โดยนำอาพระแก้วมรกตและพระแซกคำไปด้วย
พ.ศ. ๒๓๒๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้เสด็จไปปราบเมืองเวียงจันทน์ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาประดิษฐาน ณ กรุงธนบุรี
พ.ศ. ๒๓๒๗ พระองค์ได้เถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ตั้งปฐมราชวงศ์จักรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ ๒๒ มีนาคม จนถึงปัจจุบัน
เครดิต http://www.watphrakaew-chiangrai.com/article2.php?id=44