ประติมากรรมไทยสมัยเชียงแสนเป็นประติมากรรมในดินแดนสุวรรณภูมิที่นับว่าสร้างขึ้นโดยฝีมือช่างไทยเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-21 มีปรากฏแพร่หลายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ทางภาคเหนือของไทย แหล่งสำคัญอยู่ที่เมืองเชียงแสนวัสดุที่นำมาสร้างงานประติมากรรมที่ทั้งปูนปั้นและโลหะต่างๆที่มีค่าจนถึงทองคำบริสุทธิ์ประติมากรรมเชียงแสนแบ่งได้เป็น2 ยุค คือ เชียงแสนยุคแรก มีทั้งการสร้างพระพุทธรูปและภาพพระโพธิสัตว์หรือเทวดาประดับศิลปสถาน
พระพุทธรูปโดยส่วนรวมมีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธรูปอินเดียสมัยราชวงปาละ มีพระวรกายอวบอ้วนพระพักตร์กลมคล้ายผลมะตูม พระขนงโก่ง พระนาสิกโค้งงุ้ม พระโอษฐ์แคบเล็ก พระห นุเป็นปมพระรัศมีเหนือเกตุมาลาเป็นต่อมกลม ไม่นิยมทำไรพระสก เส้นพระสกขมวดเกษาใหญ่พระอุระนูน ชายสังฆาฏิสั้น ตรงปลายมีลักษณะเป็นชายธงม้วนเข้าหากัน เรียกว่า เขี้ยวตะขาบส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิเพชรปางมารวิชัยฐานที่รององค์ พระทำเป็นกลีบบัวประดับ มี ทั้งบัวคว่ำบัวหงาย และทำเป็นฐานเป็นเขียงไม่มีบัวรองรับ ส่วนงานปั้นพระโพธิสัตว์ประดับเจดีย์วัดกู่เต้าและภาพเทวดาประดับหอไตรวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ มีสัดส่วนของร่างกาย สะโอดสะองใบหน้ายาวรูปไข่ทรงเครื่องอาภรณ์เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ในศิลปะแบบปาละเสนะของอินเดียหรือแบบ ศรีวิชัย
เชียงแสนยุคหลัง มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีแบบของลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัยเข้ามาปะปนรูปลักษณะโดยส่วนรวมสะโอดสะ องขึ้น ไม่อวบอ้วนบึกบึน พระพักตร์ยาวเป็นรูปไข่มากขึ้นพระรัศมีทำเป็นรูปเปลว พระศกทำเป็นเส้นละเอียดและมีไรพระศกเป็น เส้นบาง ๆชายสังฆาฏิ ยาวลงมาจรดพระนาภี พระพุทธรูปโดยส่วนรวมนั่งขัดสมาธิราบ พระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดและถือเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดถือเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดพระพุทธสิหิงค์ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพฯพระพุทธรูปเชียงแสนนี้มักหล่อด้วยโลหะทองคำ และสำริด
หมายเหตุ 1. ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่๒๒ เป็นต้นมา ล้านนาพบกับการแตกแยกภายในการแก่งแย่งชิงอำนาจกันเอง ภัยจากภายนอกที่เข้ามาแทรกแซงทั้งจากพม่ากรุงศรีอยุธยาและล้านช้าง ทำให้ อำนาจอิสระที่คงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของแคว้นล้านนาล่มสลายลง
หมายเหตุ 2. เมื่อแคว้นล้านนาในภาคเหนือได้สถาปนาเมืองเชียงใหม่เป็นนครหลวงเมื่อ พ.ศ.๑๘๓๙ หลังจากได้รวมเอาแคว้นหริภุญไชยเข้าไว้ด้วยแล้ว ได้มีการสร้างสรรค์ศิลปะไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเดิมเรียกว่า“ศิลปะเชียงแสน” ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “ศิลปะล้านนา” อันหมายถึงรูปแบบศิลปะที่กระจายอยู่ในภาคเหนือตอนบนตั้งแต่จังหวัดตาก แพร่ น่าน ขึ้นไป
พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนสิงห์สาม เนื้อสำริด หน้าตักราว 11 นิ้ว
ประวัติความเป็นมาของเมืองเชียงแสน มีบันทึกไว้ในตำนานพงศาวดารหลายฉบับหลายสำนวน แต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเป้นเค้าโครงเดียวกัน การเริ่มเรื่องตำนานจะเริ่มกล่าวตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาลว่า พระเจ้าสิงหลวัติกุมาร อพยพมาจากนครไทยเทศล่องลงมาตามลำน้ำโขง และตั้งบ้านแปลงเมือง โดยมีพญานาคช่วยขุดคูปราการเมือง ปรากฎชื่อเมืองว่า นาคพันธุสิงหนวัตินคร ต่อมาตำนานได้กล่าวถึงการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่น ของพระเจ้าสิงหลวัติ โดยรวมเอาชาวมิลักขุ และการปราบปรามพวกกล๋อม หรือขอมให้อยู่ใต้อำนาจ หลังจากนั้นเมืองโยนกนาคพันธุ์ได้มีกษัตริย์ ซึ่งปกครองสืบต่อมาหลายพระองค์ แต่ละองค์ต่างก็เน้นในเรื่องการทำนุบำรุงศาสนาเป็นหลัก ต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าพังคราช อำนาจของขอมเมืองอุโมงคเสลามีมากขึ้น สามารถรบชนะพระเจ้าพังคราช และขับไล่ให้ไปอยู่ที่เวียงสีทอง โอรสของพระเจ้าพังคราช คือ พระเจ้าพรหม สามารถปราบปรามพวกขอมลงได้สำเร็จ จึงอัญเชิญพระเจ้าพังคราช กลับเข้าไปครองราชสมบัติที่ เมืองนาคพันธุ์ฯ ตามเดิม อาณาเขตของเมืองนาคพันธุ์ฯ สมัยพระเจ้าพรมหมได้ขยายกว้างออกไปอีกโดยไปสร้างเวียงไชยปราการ และครองราชย์อยู่ที่นั่น ในรัชกาลของพระเจ้าชัยศิริเวียงไชยปราการ ซึ่งก็ถูกรุกรานโดยกษัตริย์จากเมืองสะเทิม พระเจ้าชัยศิริเห็นว่าสู้ไม่ได้ จึงอพยพไปอยุ่ที่เวียงกำแพงเพชร สำหรับทางการเมืองนาคพันธุ์ฯ ก็ยังคงมีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีก จนถึงรัชกาลของพระเจ้ามหาชัยชนะก็เกิดเหตุการณ์อาเพศ จนเมืองล่มกลายเป็นหนองน้ำ
พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่งหน้าตัก 24 นิ้ว
สมัยเชียงแสนยุคต้นหรือสิงห์หนึ่ง ราวพุทธศตวรรษที่ 16 สกุลช่างเชียงแสนศิลปะแบบช่างหลวง (แสนแซ่) พระพักตร์กลมพระเนตรพริ้งแววพระเนตรต่ำกว่า 45 องศาบ่งบอกถึงฐานานุรูปและที่ประดิษย์ฐานองค์พระแต่เดิมได้เป็นอย่างดี สนิมหยกลึกมากมีประกายฟ้าด้วยส่วนผสมที่มีโลหะสูงค่าจำนวนมากทำให้เกิดสนิมขุมและการรานตัวของเนื้อโลหะน้อยแต่ทำให้องค์พระมีวรรณะที่เข้มพระอุระอูมเด่นบ่งบอกถึงยุคสมัยได้เป็นอย่างดี องค์พระมีความกว้างที่ 16 นิ้ว
ชื่อ พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่ง
วัสดุ สำริด ศิลปะ เชียงแสนยุคกลาง
ขนาด หน้าตัก 20 นิ้ว อายุ ราวพุทธศตวรรษที่ 22
พระพุทธรูปเชียงแสนทรงเครื่อง (Crown Buddha Image)พุทธศตวรรษที่ 19 - 20 (15th - 16th Century)
ลักษณะทางศิลปะ องค์พระเป็นพระพุทธรูปที่จัดสร้างตามความเชื่อของศาสนาุพุทธ ปรากฏเป็นปางมารวิชัยในรูปแบบศิลปะแบบเชียงแสนยุคต้น ราวรัชสมัยพ่อขุนเม็งรายมหาราช แห่งนครเชียงราย ด้วยเครื่องทรงองค์ประกอบที่บอกถึงระดับชั้นแห่งผู้สร้าง ทำให้พระองค์นี้ถือได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว (คนธรรมดาในสมัยโบราณจะไม่นิยมสร้างพระที่มีเครื่องทรงแม้เป็นขุนนางก็ยังไม่ปรากฏ ต้องเป็นชั้นกษัตริย์ผู้ครองนครเท่านั้น และการสร้างมักมีพิธีใหญ่ มีการเชิญเทวดาลงมาสถิตย์ปกป้ององค์พระและอำนวยชัยแก่พุทธศาสนิกชนที่กราบไห้บูชา)
ลักษณะทางกายภาพ องค์พระหล่อด้วยโลหะผสมประเภทสำริด (Bronze)1 ผิวขัดมีการตบแต่งผิวภายหลังจากชิ้นงานสำเร็จ อันเป็นลัษณะของเชิงช่างที่สูงในสมัยนั้น มีรักประปราย พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะทรงเครื่องเต็มองค์ และสิ่งที่บ่งบอกถึงความหายากได้แก่ ปางของพระพุทธรูปองค์นี้ที่เป็นปางสะดุ้งมาร หน้าตักองค์พระขนาด 20 นิ้ว สูงราวเมตรเศษ
จากธรรมชาติขององค์พระพิจรณาได้ว่า องค์พระไม่ผ่านการฝังดินมาก่อน องค์พระถูกเก็บรักษาใรที่อันรโหฐานเรื่อยมา ปรากฎรอยหยิบจับตามสัดส่วนเช่น แนวพระกร ลำพระองค์เป็นต้น แววพระเนตรไม่มีการตบแต่งเพื่อฝังอัญมณีใดใด อันเป็นลักษณะทางช่างที่สำคัญของช่างเชียงแสนล้านนาโบราณในยุคต้นๆที่ไม่นิยมตบแต่งพระเนตรด้วยแก้วหรืออัญมณีใดใด (โดยมากที่ใช้แก้วตบแต่งพระเนตรมักพบในพระพุทธรูปในศิลปะอยุทธยาตอนต้น กลางและปลาย หรือตรงกับศิลปะเชียงแสนยุคสิงห์หนึ่งลงมา)
เมืองเชียงแสนในสมัยรัตนโกสินทร์ ถูกทิ้งร้าง