ปริศนาพระแก้วมรกต (จบ) จากเวียงจันถึงสุวรรณภูมิ?
โดย ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
ในมติชนสุดสัปดาห์
รวมเวลาที่พระแก้วมรกตประทับอยู่ที่เชียงใหม่เพียงแค่ 85 ปีเท่านั้น (ระหว่าง พ.ศ.2011-2096) พระไชยเชษฐาธิราช ก็อัญเชิญ "รวมดาวพระดัง" ทั้ง 4 รายการจากวัดเจดีย์หลวงไปไว้ที่หลวงพระบาง
อันได้แก่ พระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ พระแก้วขาว และพระแทรกคำ
พระไชยเชษฐาเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรถึงกล้าอุกอาจช่วงชิงพระแก้วมรกตไปไว้ที่ล้านช้าง?
คงต้องเท้าความไปถึงเหตุการณ์ชุลมุนชุลเกในราชสำนักเชียงใหม่ช่วงปลายราชวงศ์มังราย เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระเมืองเกษเกล้า (ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 21) บัลลังก์ร้างกษัตริย์ลง พระไชยเชษฐาธิราชกำลังนั่งเมืองศรีสตนาคนหุต (หลวงพระบาง) อยู่ดีๆ ก็ถือโอกาสข้ามน้ำโขงมาอ้างสิทธิประกาศตัวเป็นกษัตริย์เชียงใหม่ ในฐานะที่เป็น "หลานตา" ของพระเมืองเกษเกล้า
แม้เสด็จตาทรงสวรรคตไปแล้ว แต่เสด็จแม่ (พระนางยอดคำทิพ-พระธิดาของพระเมืองเกษเกล้า) ก็ถือเป็นขัตติยนารีจากล้านนาผู้เชื่อมสายสัมพันธ์กับล้านช้าง ในฐานะมเหสีของพระเจ้าโพธิสาลราช พระราชบิดาของพระไชยเชษฐา
เมื่อเสด็จมาถึงเชียงใหม่ พระไชยเชษฐาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสมเด็จยาย หรือพระราชไอยกา พระนางเจ้าจิรประภามหาเทวี ผู้ให้การสนับสนุนยุวกษัตริย์วัย 13 ชันษาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการรู้เห็นเป็นใจในการอัญเชิญพระปฏิมาสำคัญทั้งสี่องค์ไปไว้ที่ล้านช้าง
ตำนานประวัติเมืองลำพูนถึงกับขนานนามพระนางเจ้าจิรประภาองค์นี้ว่า "มหาเทวีผู้ทิ้งเมืองเชียงใหม่" และไม่ยอมนับพระนางเป็นหนึ่งในทำเนียบกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย
ชาวล้านนาได้แต่เฝ้ารอคำสัญญาจาก "ยาย-หลาน" คู่นี้ ที่หลอกว่า "จะขอย้ายพระคู่บ้านคู่เมืองไปฝากไว้ที่หลวงพระบางชั่วคราวเพื่อหลบหนีการรุกรานของบุเรงนอง หากสถานการณ์ปกติจะเอากลับคืนมาให้"
ทั้งๆ ที่พระนางจิรประภารู้อยู่เต็มอกว่าจะไม่มีวันเสด็จกลับคืนเชียงใหม่ให้ยุ่งยากใจ และเลือกที่จะสวรรคต ณ หลวงพระบาง จึงได้วางแผนการนี้ แต่ครั้นผ่านไปในปีรุ่งขึ้น นอกจากจะไม่มีวี่แววว่าจะส่งพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งกลับคืนเชียงใหม่แล้ว พระไชยเชษฐายังหักหลังชาวล้านนาด้วยการย้ายหนีลงไปทางใต้ที่เมืองเวียงจันอีกด้วย
สรุปแล้ว พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่หลวงพระบางเพียงปีเดียว แต่ว่าอยู่ที่นครเวียงจันนานถึง 226 ปี
เกี่ยวกับชื่อเมืองเวียงจันนี่ก็แปลก จำได้ว่าในวัยเด็กถูกบังคับให้เขียนว่า "เวียงจันทน์" (บางคนล่อ "เวียงจันทร์") พอโตขึ้นมาหน่อยก็เปลี่ยนไปเป็น "เวียงจันท์" เขียนไปเขียนมา ปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลายบอกว่าผิดทั้งหมดต้องเป็น "เวียงจัน" ตามภาษาของคนลาวที่เขียนแบบเรียบง่ายไม่เคยมีการันต์แบบบาลีสันสกฤต เอาเป็นว่ายิ่งนานวันตัวสะกดตอนท้ายยิ่งหดหายทีละตัวสองตัว จึงเรียนมาเพื่อทราบว่าชื่อบทความตอนนี้มิได้มีความผิดพลาดในขั้นตอนการพิสูจน์อักษร
เมื่อพระไชยเชษฐาย้ายพระพุทธรูปจากเชียงใหม่มาไว้ที่เวียงจันแล้ว ตำนานฝ่ายล้านนาระบุว่าชาวเชียงใหม่ขอร้องให้พระไชยเชษฐาส่งกลับคืนมาอย่างน้อยสักสององค์และทางล้านช้างก็เลือกที่จะส่งคืนพระแก้วขาวกับพระพุทธสิหิงค์ แต่ไม่คืนพระแก้วมรกตกับพระแทรกคำ
ในขณะที่ตำนานฝ่ายลาวและฝ่ายสยามกลับกล่าวว่าพระไชยเชษฐาไม่ยอมส่งคืนกลับให้แม้แต่องค์เดียว
ใครจะเชื่อตำนานไหนก็โปรดใช้วิจารณญาณให้ดี เพราะหากเชื่อตามตำนานลาวว่าไม่มีการส่งกลับแม้แต่องค์เดียว ก็ดูเป็นเหตุเป็นผลเหลือเกินที่จะให้เชื่อต่อไปอีกว่า ด้วยเหตุนี้พระแก้วขาวจึงได้มีผู้นำมาถวายแด่รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ส่วนพระอนุชาวังหน้าของรัชกาลที่ 1 ก็ไปได้พระพุทธสิหิงค์ตามมาติดๆ เป็นเวอร์ชั่นที่ "เข้าทาง" คนที่นิยมประวัติศาสตร์การรวมศูนย์อำนาจของรัตนโกสินทร์
แต่หากใครเชื่อตำนานล้านนา ก็ย่อมเชื่อต่อไปว่า ในที่สุดพระแก้วขาวก็กลับมาประทับอยู่ที่วัดเชียงมั่น (โดยไม่เปลี่ยนชื่อ ยังเป็นเสตังคมณีองค์เดิม แต่พระแก้วขาวที่กรุงรัตนโกสินทร์เขา "เปี๊ยนไป๋" มีชื่อใหม่ไฉไลไปแล้วเป็น พระจันทบุษยรัตน์ แปลกดีนะ)
ในขณะที่พระพุทธสิหิงค์ก็ยังคงกลับมาประทับ ณ วัดพระสิงห์ที่เดิม
ในช่วงระยะเวลา 226 ปีที่พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ ณ เวียงจัน ชาวล้านช้างคงให้ความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าถึงได้แต่ง "พงศาวดารพระแก้วมรกตฉบับล้านช้าง" ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ที่น่าประหลาดใจก็คือ กัมพูชาผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียแม้แต่น้อยกับพระแก้วมรกต ก็พลอยรจนาพงศาวดารพระแก้วมรกตฉบับเขมรทำเกรียนอย่างเป็นตุเป็นตะกับเขาด้วย
คงเพราะช่วงต้นรัตนโกสินทร์นั้นมีสงครามวุ่นวายระหว่างไทย-ลาว-เขมร ฝ่ายหลังนี่เผลอไม่ได้ชอบแอบตีท้ายครัวตอนอีกสองฝ่ายเขารบกัน เมื่อเขมรไปได้ยินได้ฟังเรื่องราวการช่วงชิงพระรัตนปฏิมาองค์นี้ระหว่างสยามกับลาว ก็อาจจะเก็บซ่อนความรู้สึกอยากได้ไว้ไม่ไหว
แต่ทำไงได้ในเมื่อตัวเองไม่มีวาสนาในปัจจุบัน แต่ให้เผอิญที่ตำนานช่วยระบุว่า เมื่อครั้งกระโน้นพระแก้วมรกตเคยประทับที่นครอินทปัตถ์หรือ Angkor นครธมมาแล้ว คืออย่างไรเสียก็ขอเก็บกินบุญเก่ากับความยิ่งใหญ่ในอดีตก็ยังดี
อันที่จริงการกล่าวอ้างชื่อเมืองใหญ่ๆ มากมายในตำนานนั้น ก็เพียงเพื่อลากเข้ามาเสริมบารมีเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พระแก้วมรกต ไม่ว่าปาฏลีปุต (เขียนแบบบาลี) หรือปาตลีบุตร (เขียนแบบสันสกฤต) ลังกา พุกาม กัมพูชา อโยชฌ (แท้คือหริภุญไชย) กำแพงเพชร
กลุ่มเมืองเหล่านี้ถือว่า "ขึ้นหิ้ง" หรือว่า "เก๋า" มากพอที่จะนำมาอวดอ้างแล้วเพิ่มราคาความขลังได้
มีข้อน่าสังเกตว่า ตำนานพระแก้วมรกตปฏิเสธที่จะจารึกนามสองเมืองสำคัญที่ได้รับการกล่าวถึงในตำนานพุทธสิหิงค์ คือนครศรีธรรมราช กับสุโขทัย คืออยู่ๆ จากละโว้อโยชฌา ผู้รจนาตัดสินใจส่งพระแก้วมรกตข้ามไปเมืองกำแพงเพชรหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ตามฟอร์มแล้ว ช่วงที่สำเภาจากพุกามแตกมาเกยตื้นทะเลใต้ น่าจะต้องมีนครศรีธรรมราชเข้าไปเอี่ยวด้วย หรือช่วงที่หมดยุคอโยชฌาแล้วก็ไม่น่ามองข้ามสุโขทัย เพราะไหนๆ ก็อุตส่าห์ให้ท้าวมหาพรหมลงมาตื๊อพระญาไสยฦๅไทยถึงที่นี่แล้ว
เหตุที่ไม่นับญาติกับนครศรีธรรมราชและสุโขทัย ก็เพราะดังได้กล่าวมาแล้วว่า "พระแก้วมรกต" เขียนขึ้นเพื่อสนองรับความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ใหม่ในล้านนาคือ "นิกายป่าแดง" หรือนิกายสีหล ที่เชื่อว่าพระยังเติร์กหนุ่มๆ หลายรูปผู้ไปบวชใหม่สายตรงจากลังกานั้นบริสุทธิ์กว่าพระล้านนาสายลังกาวงศ์เก่าคือนิกายสวนดอก ซึ่งมีรากเหง้ามาจากพระสุมนเถระแห่งสุโขทัย และสุโขทัยก็รับพระพุทธศาสนาสืบต่อมาจากนครศรีธรรมราชอีกทอดหนึ่งตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง
พระพุทธสิหิงค์นั้นให้เครดิตกับนครศรีธรรมราช และสุโขทัยอย่างออกนอกหน้า ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพระพุทธปฏิมาในนิกายสวนดอก
อันใดก็ฉันนั้น พระแก้วมรกตจำต้องลดบทบาทของเมืองใหญ่ทั้งสองนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ มิเช่นนั้นความชอบธรรมของท้าวมหาพรหมที่ไปได้มาจากกำแพงเพชรแล้วนำมาเแอบซ่อนลับๆ ล่อๆ ที่เชียงรายก็จะถูกบดบังรัศมีความโดดเด่นให้ด้อยลงไปง่ายๆ
ตัดกลับมาที่กรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ที่ไปตีเวียงจันแล้วนำเอาพระแก้วมรกตมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมินั้นก็คือพระยาจักรี ตามรับสั่งของพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ.2321
พระแก้วมรกตประดิษฐานที่ธนบุรีได้เพียง 5 ปี จากนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ.2325 แล้ว โปรดให้ย้ายพระแก้วมรกตมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อปี พ.ศ.2327
จวบปรัตยุบันพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในสุวรรณทวีปนานถึง 234 ปีแล้ว ทำลายสถิติการครอบครองของนครเวียงจันไปได้เกือบทศวรรษ
แต่หากถือว่าเวียงจันเป็นส่วนหนึ่งของโยนกทวีป เพราะล้านนา-ล้านช้างต่างก็ถูกสยามดูแคลนว่าเป็นพวกลาวเหมือนๆ กัน ก็ต้องนับว่าพระแก้วมรกตประดิษฐานที่โยนกทวีปนานที่สุด คือนับจากยุคท้าวมหาพรหมที่นำมาซ่อนไว้ที่เชียงรายก่อนยุคพระญาสามฝั่งแกนรู้ข่าวเมื่อปี พ.ศ.1937 นั้น ก็ถือว่าพระแก้วมรกตเคยอยู่ในโยนกทวีปนานเกินกว่า 520 ปี
หากตัดเรื่องอภินิหารเร้าใจทั้งหมดทิ้งไป พบว่านัยแห่งการเชิดชูพระแก้วมรกตในดินแดนโยนกทวีปมีเพียงสองนัยเท่านั้น
นัยแรกคือการสร้างความชอบธรรมให้ท้าวมหาพรหมได้กลับมาครองเมืองเชียงราย
และนัยที่สองคือการยกยอนิกายป่าแดงขึ้นกดข่มนิกายสวนดอก คือเป็นเครื่องมือสร้างภาพของพระกับเจ้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับพุทธธรรมใดๆ เลยค่ะ
แต่สำหรับพระไชยเชษฐาแล้ว ความสำคัญของพระแก้วมรกตมิได้อยู่ที่การเป็นตัวแทนของนิกายสงฆ์ ทว่ากลับปรับเปลี่ยนความหมายและบิดเบือนไปเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีอำนาจเหนือกว่ากันระหว่างรัฐต่อรัฐ
ล้านช้างยิ่งใหญ่กว่าล้านนาไหม หากวัดกันด้วยบริบทอื่นๆ ทั้งหมดอาจจะไม่ใช่ แต่เมื่อเอาคำถามที่ว่า หากล้านช้างไม่ยิ่งใหญ่กว่าล้านนา เหตุไฉนจึงสามารถนำพระแก้วมรกตมาครอบครองได้ คนที่จะต้องตอบคำถามก็อาจถึงกับสะอึก
เช่นเดียวกับการที่กรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังจากที่ได้ทำลายกรุงธนบุรีลง ก็ได้ใช้พระแก้วมรกตเป็นเครื่องหมายแห่งการประกาศอำนาจทางการเมืองของกรุงเทพที่มีต่อกรุงธนบุรี ไม่ต่างอะไรไปจากที่ล้านช้างกระทำกับล้านนา
แทบไม่น่าเชื่อว่าพระพุทธรูปองค์น้อย จำหลักจากหินหยกสีเขียวเมื่อ 500 กว่าปี พระเกศาเรียบเกลี้ยงไร้เม็ดพระศก หน้าตักกว้างศอกเศษๆ ยิ่งนานวันกลับยิ่งกลายมาเป็นเครื่องมือเสริมส่งบุญญาบารมีของผู้ถือครองอย่างมุ่งมั่น โดยไม่สนใจจะวิเคราะห์เอกสารตำนานดั้งเดิมก่อนการกำเนิดองค์พระปฏิมาจริง หรือตั้งคำถามว่าใครเป็นผู้สร้าง สร้างเพื่ออะไร ใครเนียน ใครเกรียนเขียนตำนาน และเขียนไปเพื่ออะไร
ไม่ทราบว่าดวงวิญญาณของท้าวมหาพรหม กับพระเจ้าติโลกราช จักรู้สึกยินดีหรือสะเทือนใจ หากรับรู้ว่าผู้คนในสุวรรณทวีปสนใจพระแก้วมรกตเฉพาะในมิติของผู้ครอบครองคือผู้มีชัยชนะ ภูมิใจกับข้อมูลตัวเลขสถิติการเดินทางระยะไกลระหกระเหินแรมรอนมาหลายทวีป
และในที่สุดก็กลายมาเป็น "พระพุทธรูปองค์สำคัญที่สุดของสยาม" ...
.........
บ้านเมืองที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต นับตั้งแต่แรกพบในพระเจดีย์ที่เมืองเชียงราย มีดังนี้
1. เชียงราย ตั้งแต่ พ.ศ. -(ไม่ปรากฏ)- ถึง พ.ศ. 1979
2. ลำปาง 32 ปี
3. เชียงใหม่ 84 ปี
4. หลวงพระบาง 12 ปี
5. เวียงจันทน์ 215 ปี
6. ธนบุรี 5 ปี (พ.ศ. 2322 ถึง พ.ศ. 2327)
7. กรุงเทพฯ พ.ศ.2327 ถึงปัจจุบัน นับได้ 227 ปี
ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ไทยตีเมืองเวียงจันทน์ได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อดำรงพระอิสริยยศสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์มาประดิษฐานที่กรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. 2322 พร้อมกับพระบาง
ความเชื่อเรื่องผีอารักษ์ประจำพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง ความว่า
“ชาวล้านช้างเชื่อถือกันมาแต่โบราณว่า พระพุทธรูปสำคัญย่อมมี “ผี” คือ เทวดา
รักษาทุกพระองค์ ผู้ปฏิบัติบูชาจำต้องเซ่นสรวงผีที่รักษาพระพุทธรูปด้วย เพราะถ้าผีนั้นไม่ได้ความพอใจ ก็อาจบันดาลให้เกิดภัยอันตรายต่างๆ หรืออีกอย่างหนึ่งถ้าผีที่รักษาพระพุทธรูปต่างพระองค์เป็นอริกัน หากนำเอาพระพุทธรูปนั้นไว้ใกล้กัน ก็มักเกิดอันตรายด้วยผีวิวาทกัน เลยขัดเคืองต่อผู้ปฏิบัติบูชา”
ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางมากรุงธนบุรี ก็ทำให้กรุงธนบุรีเกิดจลาจล ต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระเจ้าเวียงจันทน์ซึ่งเป็นประเทศราชได้มาถวายดอกไม้ทองเงินและเครื่องราชบรรณาการ เมื่อจะกลับ ได้กราบบังคมทูลขอ "พระบาง" กลับไปเวียงจันทน์ด้วย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ทรงเห็นว่า พระบางมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร อีกทั้งคงได้ทรงทราบเรื่องพระแก้วมรกตและพระบางว่าประดิษฐานอยู่ด้วยกันไม่ได้ เมื่อชาวเวียงจันทน์เขารักใคร่หวงแหน จึงพระราชทาน "พระบาง" คืนไปไว้นครเวียงจันทน์ตามประสงค์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวียงจันทน์คิดกบฏ นครเวียงจันทน์ในเวลานั้นก็ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ กำแพงเมืองถูกรื้อถอนอย่างสิ้นซาก ต้นไม้ใบหญ้าถูกตัดทำลายแล้วเผาไหม้เป็นจุล พระพุทธรูปหลายร้อยหลายพันองค์ก็ถูกไฟเผาจนละลาย และกองระเนระนาดอยู่ตามวัดวาอารามต่างๆที่ถูกเผาไหม้ไปตามกัน ซึ่งก็มีเพียงวัดศรีสะเกษเท่านั้น ที่รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย แต่โดยสรุปรวม ความแล้วก็คือ นครเวียงจันทน์อันสวยงามและอุดมสมบูรณ์ได้กลับกลายเป็นเมืองร้างไปอย่างสิ้นเชิงในปี พ.ศ. 2371 นั่นเอง
เมื่อเจ้าพระยาบดินทร์เดชา ไปปราบกบฏราบคาบ ได้อัญเชิญ"พระบาง" ลงมาถวาย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 คงจะทรงทราบเรื่องอยู่บ้าง จึงไม่ทรงรับพระบางไว้ในพระราชวัง โปรดให้ไปไว้ที่วัดจักรวรรดิราชาวาส (วัดสามปลื้ม) แทน
พระบางอยู่วัดจักรวรรดิราชาวาสมาจนถึงรัชกาลที่ 4 เกิดฝนแล้งข้าวแพงติด ๆ กันหลายปี ผู้คนพากันสงสัยว่าอาจจะเป็นเพราะพระแก้วมรกตกับพระบางมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เป็นแน่ จึงได้เกิดเหตุร้ายเช่นนี้ขึ้น ได้มีผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ไม่โปรดที่จะให้คนคิดเห็นไปในทางไม่ดีเช่นนั้น เมื่อเจ้านครหลวงพระบางมาถวายดอกไม้ทองเงินและเครื่องราชบรรณาการตามธรรมเนียมเมืองประเทศราช จึงพระราชทาน "พระบาง" กลับไปไว้ที่หลวงพระบางดังเดิม
ในสมัยรัชกาลที่ 3 กองทัพสยามยกมาปราบเจ้าอนุวงศ์ ณ เมืองเวียงจันทน์ พร้อมทั้งเผาเวียงจันทน์จนราบคาบ และได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควายขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ ซึ่งผูกติดกันอย่างมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่นในขณะนั้น เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น แท่นของพระสุกได้เกิดแหกแพจมลงไปในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุพัดแรงจัด และบริเวณนั้นได้นามว่า "เวินแท่น"
การล่องแพก็ยังล่องมาตามลำดับจนถึงน้ำโขง (ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้เกิดพายุใหญ่ เสียงฟ้าคำรามคะนองร้องลั่น ในที่สุดพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ ซึ่งอาการวิปริตต่างๆ ก็ได้หายไปเป็นอัศจรรย์ยิ่ง บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า "เวินสุก" และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้
ก็ยังเหลือแต่พระเสริม พระใส ที่ได้นำขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมนั้นได้ถูกอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใส ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ)
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็อัญเชิญพระเสริม จากวัดโพธิ์ชัย หนองคายไปกรุงเทพฯ และอัญเชิญพระใสจากวัดหอก่องขึ้นประดิษฐานบนเกวียนจะอัญเชิญลงไปกรุงเทพฯ ด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธื์ชัย หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมลงกรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย อ.เมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า "หลวงพ่อเกวียนหัก”
ความเป็นล้านช้าง ลาวเวียงจันทน์ติดตัวคนอีสานมาจนถึงรัชกาลที่ 5 ในดินแดนอีสานผู้คนแถบนี้ถูกสักเลขและเรียกชื่ออย่างเป็นทางการในทะเบียนราษฎร์ว่า “ลาวในบังคับสยาม” จึงไม่แปลกใจเลยที่คนภาคกลาง หรือคนกรุงเทพฯ จะเรียกคนอีสานว่า ลาว ไอ้ลาว บักลาว จนถึงทุกวันนี้...
Credit:คุณต๊กโกคิ้วป้าย