ตำนานพระเจ้าแก้วมรกต วัดพระธาตุลำปางหลวง
ดูกรอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงไปแล้ว ๑000 ปีลูกศิษย์แห่งตถาคตจักได้จุติจากดาวดึงษ์ลงมาปฎิสนธิ์ในเมืองกุกุตนคร เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็จักได้ออกบวชเป็นภิกษุภาวะ ตั่งอยู่ในเพศสมณะจนได้เป็นเถระแล้ว พร้อมกันนั้นนางเทวดาองค์หนึ่งก็ได้จุติลงมาเกิดในเมืองกุกุตนคร เช่นเดียวกัน และนางได้มีใจเลื่อมใสต่อศาสนาพระตถาคตเป็นอันมาก นางได้มาเป็นผู้อุปถากพระมหาธาตุเจ้าวัดม่อนดอนเต้าและพระมหาเถรด้วย นางผู้นี้มีชื่อว่า " สุชาดา " อยู่มาวันหนึ่งพระมหาเถรคิดอยากจะสร้าง พระพุทธรูปสักองค์หนึ่ง แต่หาวัสดุอันที่จะนำมาสร้างและสลักไม่มี เมื่อนั้นพระญานาคตนหนึ่งซึ่งรักษาอยู่ในแม่้ำน้ำอันมีชื่อวังกะนะที (แม่น้ำวัง) ได้ไปเมืองนาคแห่งพระองค์ไปนำเอาแก้วมรกตลูกหนึ่งมาแล้วพญานาคก็เอาแก้วมรกตลูกนั้นเข้าใส่ใว้ในหมากเต้า (แตงโม) นำไปไว้ในไร่ของนาคสุชาดา รุ่งขึ้นวันหนึ่งนางสุชาดาไปในไร่เพื่อจักเก็บดอกไม้ไปบูชาพระมหาธาตุและถวายพระมหาเถร นางได้พบหมากเต้าลูกนั้นมีสีสรรวรรณะ ดีกว่าลูกอื่น ๆ นางก็นำไปสู่สำนักพระมหาเถรในวัดพระมหาธาตุดอนเต้า และถวายให้แก่พระมหาเถรเมื่อพระมหาเถรรับเอาแล้วก็จัดแจงผ่า หมากเต้านั้นปรากฎว่าในหมากเต้านั้นมีลูกแก้วมรกตลูกหนึ่งพระมหาเถรและนางสุชาดาเมื่อได้เห็นแก้วมรกตนั้นแล้วก็มีความโสมนัสยินดีเป็นอันมาก ส่วนพระมหาเถรเมื่อได้แก้วมรกตนั้นมาก็จัดการสลักเื่พื่อให้เป็นพระพุทธรูปแต่สลักเท่าไหร่ก็หาเข้าไม่ และพระมหาเถรพยายามสลักอยู่หลายวันก็ไม่สำเร็จ วันหนึ่งขณะที่พระมหาเถรกำลังพิจารณาแก้วมรกตที่จะสลักเป็นพระพุทธรูปอยู่ที่หน้ากุำิฎิ ปรากฎว่ามีชายแก่คนหนึ่งไม่ทราบว่ามาจากทิศใด เข้ามาถามพระมหาเถรว่า ข้าแต่พระมหาเถรเป็นเจ้า ท่านจักกระทำสิ่งอันใดเมื่อพระมหาเถรได้ฟังชายแก่นั้นถาม จึงตอบว่า เราจักสลักแก้วมรกตนี้เป็นพระพุทธรูป แต่สลักเท่าใดก็ไม่เข้าแข็งนัก แล้วพระมหาเถรจึงถามชายแก่นั้นว่า ตัวอุบาสกยังมีความเข้าใจและเป็นช่างในทางนี้บ้างหรือ ชายแก่นั้นก็ตอบรับว่า ตนพอจะเข้าใจบ้าง ฝ่ายพระมหาเถรเมื่อทราบจากชายแก่นั้นก็มีความโสมนัสเป็นอันมาก รีบลุกจากที่เพื่อเข้าไปเอาเครื่องมือให้ชายแ่ก่นั้นคร้นพระมหาเถรกลับออกมาจากกุฎิพร้อมด้วยเครื่องมือมาถึงที่หน้ากุฎิพระมหาเถรก็แลเห็นองค์พระพุทธรูปแ้ก้วมรกตมีสีสรรวรรณะผ่องใสงดงามมากนัก แต่พระมหาเถรมองหาชายแก่ในที่นั้นไม่พบ จึงเที่ยวออกตามหาจนทั่วบริเวณก็ไม่พบในที่ใดเลย พระมหาเถรจึงคิดในใจว่า ชรอยว่าพระอินทร์และเทวดาลงมานิมิตรให้ ครั้นแล้วพระมหาเถรพร้อมด้วยนางสุชาดาต่างก็มีความโสมนัสเป้นล้นพ้นกิติศัพท์เรื่องนี้ไ้ด้ร่ำลือไปในหมู่ประชาชนจนทั่งเมือง ประชาชนต่างก็พากันมาทำการสักการะบูชาพระพุทธรูปแก้วมรกตเป็นจำนวนมาก ส่วนพระมหาเถรและนางสุชาดาก็พร้อมกันนิมนต์พระภิกษุสงษ์ มาทำการอบรมสมโภชพระพุทธรูปเจ้าเสร็จแล้ว ฉะนั้นสถานที่แห่งนี้จึงปรกฎนามในต่อมาว่า "วัดพระแก้วดอนเต้า" มาจนตราบทุกวันนี้ ต่อจากนั้นมีบุคคลบางพวกบางหมู่ก็เล่าลือว่า พระมหาเถรกับนางสุชาดา เป็นชู้ด้วยกัน เรื่องนี้ได้ทราบถึงอำมาตย์ของเจ้าผู้ปกครองนครแห่งนี้ ไ้ด้นำความขึ้นกราบทูลเจ้าผู้ครองนครให้ทราบ เจ้าผู้ครองนครเมื่อทรงทราบเรื่องนี้แล้ว หาได้ทรงพิจารณาให้ท่องแท้เท็จจริงอย่างใดไม่ จึงทรงบัญชาให้เพชฌฆาตให้นำเอานางสุชาดาไปฆ่าเสีย ณ ที่ริมแม่น้ำวังคะนะที ก่อนลงมือฆ่านางสุชาดาได้กระทำสัตยาอธิฐานว่า ถ้าหากนางได้กระทำการเป็นชู้กับพระมหาเถรจริงดุงผู้กล่าวหาแล้ว ก็ขอให้เลือดแห่งนางพุ่งลงสู่พื้นดิน และถ้าหากตัวนางนี้มิได้กระทำการเป็นชู้กับพระมหาเถร ก็ขอให้เลือดแห่งนางพุ่งขึ้นสู่อากาศอย่าได้ตกลงมาสู่พื้นดินเลย เมื่อเพชฌฆาตลงดาบตัดคอและคอของนางขาดปรากฎว่า เลือดของนางได้พุ่งขึ้นสู่อากาศโดยมิได้ตกลงมาสู่พื้นดินเลย ดังนั้น เมื่อพวกเพชฌฆาต ได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงพากันกลับเอาเหตุการณ์นี้ไปกราบทูลให้เจ้าผู้ครองนครนั้นทรงทราบ เมื่อผู้ครองนครทรงทราบเหตุการณ์เช่นนั้น พระองค์ทรงมีความเสียพระทัยเป็นอันมาก พระองค์จึงลุกจากพระแท่นที่นั่งแล้วเสด็จไปมาล้มลงขาดใจตายไปในบัดเดียวนั้น ตั่งแต่นั้นมา พระมหาเถรเจ้าก็หนีจากสำนักวัดพระแก้วดอนเต้าไปพำนักอยู่วัด ลัมภะกัปปะ (วัดพระธาตุลำปางหลวง) พร้อมกับนำพระพุทธรูปแก้วมรกตไปด้วย ดั้งนั้นพระพุทธรูปแก้วมรกตองค์นั้นจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงมาจนตราบทุกวันนี้.
เครดิตจาก เพจ วัดพระธาตุลำปางหลวง